[WFcontest] Dream Train (รถไฟแห่งความฝัน ข้ามเวลาไปหาเธอ)
ถ้าคุณมีความปรารถนาอันแรงกล้า อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง เชิญมาที่รถไฟของเรา แล้วเราจะนำทางท่านไปสู่อดีตนั้นเอง (ผลงานเรื่องสั้นประกวด World Fantasy)
ผู้เข้าชมรวม
452
ผู้เข้าชมเดือนนี้
8
ผู้เข้าชมรวม
“สวัสดีค่ะ ดิฉันยูเมะแห่งขบวนรถไฟหมายเลข 1333 รถไฟขบวนแห่งความฝัน โปรดบอกความปรารถนาของท่าน และดิฉันจะนำทางท่านไปสู่ปลายทางของความปรารถนานั้นเองค่ะ”
คำประกาศอันแสนอ่อนโยนของพนักงานสาวปริศนาแห่งรถไฟขบวนแห่งความฝันหมายเลข 1333 ปลายทางสู่อดีตประกาศก้องแก่ผู้โดยสารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอันเปี่ยมล้นโดยแลกกับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเอง การเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสุข เศร้า เคล้า น้ำตา แฟนตาซีอบอุ่นเรื่องนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เอาล่ะ !! ใครกันนะ จะเป็นผู้โดยสารคนแรกของรถไฟขบวนนี้
(ผลงานเรื่องสั้นโดย มิสเตอร์ อเมริกัน)
(งานชิ้นนี้เป็นเรื่องสั้นเขียนขึ้นเพื่อร่วมประกวดโครงการ( [WF contest] ในหัวข้อที่ 1 รถไฟที่สามารถเดินทางข้ามเวลาหรือมิติได้ โดยมีเงื่อนไขในการเดินทางว่า...)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ท่ามกลางเสียงดังกึกกังที่ดังก้องสลับกับร่างโอนเอนไปมา แสงสว่างวูบวาบข้างทางเล็ดลอดผ่านม่านตาเข้ามาอย่างจุกจิก เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้น ภาพอันพร่ามัวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ไม่นานนักภาพเบื้องหน้าก็ค่อย ๆ ชัดขึ้นจนมองเห็นม้านั่งสีขาวตั้งยาวเรียงรายไร้เงาผู้คน เหนือขึ้นไปมีหน้าต่างกระจกใสเผยให้เห็นทิวทัศน์รอบข้างฉายพาดผ่านไปเสมือนภาพวีดีโอ ฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจไปมาบนเบาะนั่งนี้อย่างเมื่อยล้า โดยที่ฉันยังคงมองไปรอบขบวนรถแห่งนี้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
“อะไรกันมีแต่ฉันคนเดียวเองเหรอ ?”
ฉันบอกตัวเองเช่นนั้น ขณะหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่ที่ตอนนี้ขบวนรถได้แล่นผ่านบริเวณที่เต็มไปด้วยป่าไม้รถชัฏแบบเขตร้อนไปหมาด ๆ ฉันคว้าเอานาฬิกาพกพาสีทองขึ้นมาดูเวลาเล็กน้อย เวลาในนั้นทำให้ฉันถอดถอนหายใจพลางหันไปหยิบกระเป๋าหนังสีดำขึ้นมาเปิดเอากองกระดาษ A4 ออกมา ฉันกวาดสายตามองไปยังตารางในกระดาษพวกนั้นอย่างรวดเร็ว
วู้ด วู้ด
เสียงคำรามของรถไฟดังขึ้นเป็นเสมือนสัญญาณบอกว่า ใกล้จะถึงชานชาลาของสถานีปลายทางแล้ว ฉันเก็บกระดาษกำหนดนั้นลงกระเป๋าแล้วเหม่อมองออกไปด้วยสายตาคาดหวัง
“วันนี้จะมีผู้โดยสารแบบไหนมากันนะ”
พลันนั้นเสียงประกาศของสถานีก็ร้องดังขึ้น
“รถที่จะเข้าเทียบชานชาลาหมายเลขที่ 13 เป็นรถไฟด่วนเลขที่ 1333 รถไฟแห่งความฝันจะรับส่งผู้โดยสารที่มีความปรารถนาอยากย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตของตัวเอง ผู้โดยสารท่านใดสนใจจะโดยสารไปกับขบวนรถไฟด่วนเลขที่ 1333 นี้สามารถซื้อตั๋วได้ที่นายทะเบียน...”
หญิงสาวคนนั้นชะโงกหน้าออกจากหน้าต่างรถไฟพลางมองชานชาลาที่อยู่เบื้องหน้านี้ ท่ามกลางสายลมเย็น ๆ พัดผ่านร่างของเธอจนรู้สึกสดชื่น
นี่คือ เรื่องราวของรถไฟขบวนที่ 1333 แห่งชานชาลาที่ 13 รถไฟแห่งความฝันที่มีเพียงคนซึ่งเต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันแรงกล้าเท่านั้นที่จะโดยสารมันไปได้
นี่คือ เรื่องราวการเดินทางของรถไฟขบวนนี้
+++++++++++++++
“มันอยู่ตรงนั้น !!”
“รีบจับมันเอาไว้ให้ได้ !!”
เสียงตะโกนดังขึ้นทำลายความเงียบงันของยามรัตติกาล ท่ามกลางวุ่นวายนั้นปรากฏร่างของคนกลุ่มนั้นกำลังวิ่งไล่ร่างหนึ่งภายนอกตรอกเล็ก ๆ ที่รายล้อมด้วยอาคารสูงราวกับป่าปูนละลานตา
ร่างนั้นอาศัยความว่องไวกระโดดหลบไปตามทางที่มีสิ่งกีดขวางตั้งระเกะระกะอยู่อย่างคุ้นชิน โดยมีเสียงดังไล่หลังผสานกับเสียงฝีเท้าที่ตามมาอย่างติด ๆ
ความวุ่นวายนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้บริเวณที่แสนเงียบสงบนี้ดูอึกทึกไปสักหน่อย ซึ่งก็เป็นเพียงชั่วคราว อาจจะเพราะว่า ร่างที่พวกเขาไล่ล่านั้นคุ้นชินทางจึงสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย จนสุดท้ายพวกเขาก็ถอนกำลังกลับจนหมดทิ้งให้ตรอกแห่งนี้เงียบสงบอีกครั้ง
หลังการตามล่าได้ผ่านพ้น ฝาถังขยะค่อย ๆ เปิดออกพร้อมเผยเรียวแขนสีขาวนวลลอยขึ้นมา เจ้าของแขนนั้นค่อย ๆ โผล่ออกมาจากถังขยะพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้นที่เผยฟันเขี้ยวสีขาวสะท้อนกับความมืด
ร่างนั้นหย่อนเท้าลงบนพื้นคอนกรีต แสงจันทร์สีทองเผยให้เห็นรูปร่างนั้นได้อย่างชัดแจ้ง ร่างเพรียวบางผิวขาวเหลืองสวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำสนิทที่ตัดกับสีผิวของเธอ ใบหน้าของเธอเจาะห่วงไว้ตามร่างกายซึ่งเข้ากับผมสั้นสีแดงซอยประบ่าได้พอดิบพอดี
“ให้ตายเถอะ เจ้าพวกยากูซ่าไวขึ้นเยอะเลยแหะ”
เธอบ่นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ขณะมองไปรอบ ๆ ตัวให้แน่ใจว่า ไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วจึงคว้าเอากระเป๋าหนังสีดำออกมาแล้วเปิดซิบดูสิ่งที่ใส่อยู่ด้านนี้อย่างพอใจ
มันคือ เงินสดที่เธอพึ่งขโมยมาจากพวกยากูซ่าขาใหญ่แถว ๆ ย่านกินซ่า เงินสดจำนวนหลายแสนเยนถูกอัดแน่นอยู่ในกระเป๋าใบนี้จนทำให้เธอแอบแสยะยิ้มขึ้นมาถึงอนาคตอันสวยหรูที่วาดฝันเอาไว้
เงินนี่จะทำให้ตัวเธอสบายขึ้นหลังต้องปากกีดตีนถีบอยู่นานสองนาน
ใช่แล้ว เงินจำนวนนี้จะทำให้เธอคนนี้มีชีวิตสบายเสียที
ชีวิตของหญิงสาวที่ชื่อว่า อายาเสะ ริน คนนี้
รินรูดซิบกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเดินออกจากตรอกแห่งนี้มุ่งหน้าไปยังที่พักของตัวเองที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก เธอแอบพกความหวังที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเดินมุ่งหน้าผ่านความมืดนี้ไปอย่างอารมณ์ดี
ไม่นานนัก รินเดินทางมาถึงที่พักของตัวเอง อพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ โทรมราคาเดือนล่ะ 5000 เยนที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เรียนจบ เธอก้าวขึ้นบันไดเดินผ่านห้องหับต่าง ๆ ที่ปิดเงียบมุ่งหน้าไปยังห้องด้านในสุด เธอควักเอากุญแจห้องเพื่อปลดล็อคประตู
“แกร่ก”
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้นทำลายความเงียบงันรอบข้าง รินเดินเข้ามาในตัวห้องที่มืดสนิท เธอเอื้อมมือไปกดสวิตซ์ไฟที่อยู่ข้างประตู ไฟในห้องได้เผยให้เห็นสภาพห้องอันแสนสกปรก บนพื้นห้องเต็มไปด้วยขยะและกระป๋องเบียร์วางทิ้งระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน ห้องครัวส่งกลิ่นเหม็นบูดเน่าเนื่องจากไม่ได้ทำความสะอาดมานาน เศษขยะทิ้งเทไว้ในซิงก์ล้างจานอย่างเรี่ยราด
รินหยิบกระป๋องเบียร์ในตู้เย็นที่อัดแน่นไปด้วยกระป๋องเบียร์จำนวนมาก เธอยกกระป่องเบียร์กระดกลงคออย่างหิวกระหาย จากนั้นรินก็ล้มตัวลงยังฟูกนอนที่ตั้งอยู่กลางห้องด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอพลิกตัวขึ้นเอามือกายหน้าผากมองเพดานด้วยสายตากรุ่มกริ่ม ใบแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกฮอลล์ที่ดื่มเข้าไป
“เอื้อกกกกกก ไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอ ?”
รินบ่นเปรย ๆ โดยที่สายตาของเธอมองไปยังรูปถ่ายใบหนึ่งที่ตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องสำอาง บนรูปถ่ายนั้นเป็นรูปถ่ายของรินกับแฟนคนปัจจุบันของเธอที่ถ่ายกันหน้าคาราโอเกะเมื่อหลายปีก่อน แน่ล่ะว่า ตอนนี้อะไรอะไรก็เปลี่ยนไปหมดสิ้น แฟนของเธอไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว
ไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร รินรู้ดี แฟนคนนี้ทิ้งเธอไปหาผู้หญิงใหม่เรียบร้อยแล้ว แน่ล่ะว่า ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เธอรู้ว่า พวกยากูซ่าขนเงินกันเมื่อไหร่ เธอจึงสามารถขโมยมันมาได้อย่างที่เห็น
แม้จะทำให้เขาต้องซวยก็เถอะ รินก็ไม่ได้มีเยื่อใยใด ๆ แล้ว เธอจึงล้มลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า แม้เตียงจะแข็งกระด้างจนนอนไม่สบายเท่าไหร่นัก แต่สำหรับรินแล้วมันก็นิ่มพอจะทำให้เธอค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
และนั่นทำให้ฝันถึงอดีต
อดีตอันแสนห่างไกลจากเวลานี้เสียเหลือเกิน
ภาพความทรงจำของซากุระสีชมพูที่ผลิดอกในฤดูใบไม้ผลิอันดูงดงาม ภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นซากุระนั้น ชายหนุ่มที่เธอจำหน้าไม่ได้ว่าเป็นใคร เขายืนรออยู่ตรงนั้นพลางขยับปากพูดอะไรสักอย่างกับริน เพียงแต่ว่า รินไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเลย
และเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อมือถือของเธอร้องดังขึ้น
“อื้อ...ใครโทรมาเนี่ย”
รินหยีตาอย่างเหนื่อยหน่ายใจพลางเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่ขึ้นมา
“ฮัลโหล ?”
“ฮัลโหล หล่อนใช้แฟนของเจ้ามูราซากิใช่ไหม”
เสียงปลายสายนั้นดูก้าวร้าวไม่มีหางเสียง ทำให้รินเดาได้ว่า คนโทรต้องเป็นพวกยากูซ่าแน่ ๆ
“เมื่อก่อนน่ะใช่ ตอนนี้ไม่ใช่แฟนฉันแล้ว มีอะไรเหรอ ?”
“เจ้ามูราซากิอยู่กับพวกเรา เอาเงินที่หล่อนขโมยมาคืนซะ ไม่งั้นมันตาย”
“หืม ? พวกนายรู้ได้ยังไงว่า ฉันเอาไป”
รินถามอย่างใคร่รู้แม้ว่าตัวเธอจะรู้คำตอบอยู่บ้างแล้ว
“เจ้ามูราซากิมันปากมาก แล้วเธอก็เป็นแฟนมัน”
“แฟนเก่า พูดให้ถูก !!”
“เออ ๆ แฟนเก่า เพราะงั้น คนที่ขโมยไปก็มีแต่หล่อนนี่ล่ะเพราะงั้นถ้าไม่อยากให้มันตายก็เอาเงินมาคืนที่ท่าเรือตอนหกโมงเย็น ไม่งั้นเจ้ามูราซากิได้กลายเป็นอาหารปลาในอ่าวโตเกียวแน่ อย่า...” ไม่ทันพูดจบรินก็กดวางสายไปทันที เธอลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะคว้าเอากระเป๋าใส่เงินนั้นขึ้นมาแล้ววิ่งออกจากห้องไป
รินรู้ดีว่า ต้องออกไปจากเมืองนี้ให้ได้ ไม่งั้นเจ้าพวกยากูซ่าคงมาไล่ล่าเธอแน่ รินวิ่งลงจากอพาร์ทเม้นท์นี้มุ่งหน้าไปทางเหนือ เพราะเป็นเช้ามืดในฤดูเหมันต์จึงทำให้แม้ตัวเลขบอกเวลาในมือถือจะบอกว่าเป็นเวลา 6 โมงแล้วก็ตาม ดวงตะวันก็ยังไม่สาดแสงเสียทีทำให้บรรยากาศรอบข้างตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดและเมฆหมอกไม่คลาย
รินก้าวเท้าเร็ว ๆ มุ่งหน้าตรงไปตามทางพร้อมกับส่งเสียงหอบไปมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย สมองที่อ่อนล้าและถูกรบกวนด้วยแอลกฮอลล์เมื่อคืนนั้นส่งผลให้หัวข้างหนึ่งของเธอรู้สึกปวดแป๊บ ๆ เหมือนไฟฟ้าช็อต
เนื่องจากความเร่งรีบทำให้เธอสวมรองเท้ามาไม่ค่อยเรียบร้อยนัก รองเท้าผ้าใบสภาพเก่านั้นส่งเสียงเอี้ยดอ้าดจนเป็นเสียงดัง เสียงเดียวที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้
และนั่นเอง
“เปรี้ยง”
กระสุนปืนดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวราวกับโลกาวินาศ เสียงของมันทำลายความเงียบสงบนี้ไปจนหมดสิ้น เลือดสีแดงสาดกระเซ็นพร้อมกับ ๆ ร่างหนึ่งลอยขึ้นเหนืออากาศเพราะ แรงกระแทกนั่น
“อั่ก”
รินส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับใช้มือกดเอาที่หัวไหล่ของตัวเองซึ่งถูกกระสุนปืนฝังเข้าไปเมื่อครู่นี้ เธอเหลือบตามองเบื้องหน้าที่ที่คนชุดดำลั่นไกใส่เธอ วัตถุในมือของเขานั้นกำลังพ่นควันสีขาวออกมา รินที่กัดฟันอาศัยจังหวะนั่นเหวี่ยงกระเป๋าหนังในมือตีใส่มือที่ปืนของเจ้านั่นเต็มแรง
“ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกก”
ปืนหลุดจากมือของหมอนั่น ขณะที่รินกัดฟันวิ่งตรงเข้าไปเฮดบัตต์กับหัวของเจ้านั้นจนล้มลงไปกอง แน่ล่ะว่า การโจมตีที่มุทะลุของรินนั้นทำให้เธอแทบหมดสติไปในชั่วขณะ แต่โชคดีที่เธอยังพอตั้งสติได้อยู่บ้าง เธอมองดูร่างของชายคนนั้นที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ทว่าในตอนนั้นเอง
“มันอยู่นั่น !!”
“ฆ่ามัน แย่งกระเป๋ามาให้ได้”
“เปรี้ยง ๆๆ”
เสียงปืนดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง รินจึงรู้ทันทีว่า พวกยากูซ่าคงตามเธอมาแล้วเหมือนกัน เธอจึงรีบวิ่งหนีต่อไป โดยมีเจ้าพวกนั้นไล่ตามมาติด ๆ
“แฮ่ก แฮ่ก”
เสียงหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนหมดสภาพของรินดังขึ้น อาจจะเพราะ วิ่งหนีมาเป็นเวลานานบวกกับบาดแผลที่ไหลนั้นค่อนข้างสาหัสทำให้เธอหมดเรี่ยวแรงไปอย่างรวดเร็ว ขาทั้งสองข้างแข็งเหมือนหินจนก้าวแทบไม่ออก หัวใจเต้นระรัวราวจะเด้งออกมาจากอก รินรู้สึกว่า ตัวเองไม่ไหวแล้ว แต่เพราะ กลัวตายจึงยังคงวิ่งต่อไปโดยหอบกระเป๋าเงินเอาไว้
แน่ล่ะว่า ในสมองของเธอครุ่นคิดอยู่ตลอดว่า ทำไมเธอต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
เธอควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบ้านหลังเล็ก ๆ มีแฟนทำงานบริษัทตัวเองได้เลี้ยงลูกสองคนและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่ชีวิตที่ต้องปากกัดตีนถีบเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ไม่ใช่ชีวิตที่เธอต้องมาเจออะไรแบบนี้
เธออยากจะเปลี่ยนมัน เธออยากจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองเสียใหม่
ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง เธอจะทำชีวิตตัวใหม่ให้ได้
ไม่ว่าแลกอะไร เธอก็ยอมทั้งนั้น
และตอนนั้นเอง หูของเธอก็แววได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“รถที่จะเข้าเทียบชานชาลาหมายเลขที่ 13 เป็นรถไฟด่วนเลขที่ 1333 รถไฟแห่งความฝันจะรับส่งผู้โดยสารที่มีความปรารถนาอยากย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตของตัวเอง ผู้โดยสารท่านใดสนใจจะโดยสารไปกับขบวนรถไฟด่วนเลขที่ 1333 นี้สามารถซื้อตั๋วได้ที่นายทะเบียน...”
“แก้ไขอดีต ?”
รินคิดแว่บหนึ่งว่า เธอหูฝาดไปหรือเปล่า กระทั่งได้ยินเสียงลำโพงประกาศอีกครั้ง เธอจึงแน่ใจว่า ไม่ได้หูฝาดไปและตัดสินใจวิ่งตรงไปยังบริเวณชานชาลาหมายเลข 13 ที่ว่านั่นทันที
“ชานชาลาที่ 13 13 13 13 จะ เจอแล้ว ?”
รินวิ่งไปตามทางกระทั่งมาถึงบริเวณชานชาลาที่ 13 ที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งรถจักร หรือกระทั่งผู้คน ต้องบอกว่า ที่นั้นไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไป
“เดี๋ยวสิ ไม่เห็นมีรถไฟเลย ก็นี่ชานชาลาที่ 13 ไม่ใช่เหรอ ?”
รินได้แต่ยืนเกาหัวด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับหันหน้ามองตัวเลขบนเสาอีกครั้งว่า ตัวเองมาถูกชานชาลาหรือไม่หลายครั้งจนแน่ใจ นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกงุนงงขึ้นไปอีกว่า เสียงที่ได้ยินนั้นให้มาที่นี่จริงหรือ ?
กระทั่ง
“จะไปไหนเหรอคะ ?”
เสียงนุ่ม ๆ อันสุภาพดังขึ้นจากด้านหลังทำให้รินถึงกับสะดุ้งโหยงพลางหมุนตัวควับไปยังเบื้องหลังที่ที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงนั้น
หญิงสาวในชุดเสื้อพนักงานสีน้ำเงินกับกระโปรงสั้นสีน้ำเงินเหนือเข่าเล็กน้อยยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยิ้มแย้มให้อย่างเป็นกันเอง
เธอมีผมสีครามที่ถูกมัดรวบเอาไว้ด้านหลังจนเป็นทรงหางม้า ใบหน้าสวยงามได้รูปราวกับดารา ดวงตาสีนิลของเธอจับจ้องมาทางรินด้วยความสนใจ
“ค่ะ พอดีว่า ฉันจะเดินทางไปกับรถไฟขบวนนี้น่ะค่ะ แต่ว่าหาทางขึ้นไม่ได้ค่ะ”
“เหรอคะ ? แสดงว่า คุณได้ยินเสียงประกาศของเราสินะคะ”
“ค่ะ ได้ยินค่ะ”
รินพยักหน้ารับแล้วตอบยืนยัน ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเอามือประกบกันก่อนจะควักบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
“นี่ค่ะ ตั๋ว”
“ตั๋วเหรอคะ ?”
“ค่ะ เป็นตั๋วสำหรับเดินทางค่ะ รถไฟนี้นั้นคนทั่วไปมองไม่เห็นต้องเป็นคนที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลับไปเปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้นค่ะ ถึงจะได้เดินทางไปกับมันด้วย ดังนั้น เมื่อคุณได้ยินเสียงของเรา คุณก็ไปกับเราได้ค่ะ”
รินเอื้อมมือไปจะหยิบตั๋วจากมือของพนักงานคนนั้น ทว่า จู่ ๆ เธอคนนี้ก็พูดขึ้นมาว่า
“แต่ตั๋วก็มีราคาของมันนะคะ”
“ราคาเหรอ ?”
“ค่ะ ราคาของมันคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณในตอนนี้ บางคนเอาชื่อเสียง บางคนเอาชีวิตในตอนนี้มาแลกกับตั๋วใบนี้ คุณอยากจะแลกอะไรกับตั๋วใบนี้งั้นเหรอคะ ?”
“แลกเหรอ ?”
รินใคร่ครวญคำพูดของพนักงานรถไฟหญิงคนนี้ก่อนจะหวนนึกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตนี้ เธอมั่นใจว่า ชีวิตของเธอคงไม่มีอะไรสำคัญที่จะแลกแล้วนอกจากสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้
“ชีวิตฉันไม่มีอะไรเลยค่ะ คุณพนักงาน ฉันไม่รู้ว่าอะไรสำคัญสำหรับฉันหรอกนะคะ แต่ว่า ถ้าเป็นตอนนี้เงินในกระเป๋าทั้งหมดนี้คือ สิ่งเดียวที่ฉันมีอยู่ค่ะ ถ้ามันเพียงพอต่อตั๋วนั้นล่ะก็ ฉันขอแลกมันค่ะ”
รินประกาศกร้าวเช่นนั้น ใบหน้าของเธอดูมุ่งมั่นและไม่มีความลังเลอีกต่อไป ท่าทางนั้นทำให้พนักงานสาวแอบยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ เธอยื่นมือรับเจ้ากระเป๋าหนังนี้พลางเปิดซิบออกแล้วเทเงินทิ้งบนพื้นอย่างไร้ค่า แบงค์พันเยนกองโตตกอยู่ตรงหน้าของสองคน เพียงแค่ว่ามันไม่มีค่าสำหรับทั้งสองคนอีกแล้ว
“กระเป๋านี้คือสิ่งที่คุณแลกกับตั๋วใบนี้สินะคะ”
“ค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น ตั๋วนี้เป็นของคุณแล้วค่ะ”
รินรับตั๋วจากมือของพนักงานสาวคนนั้นไป ทันทีที่มือของเธอสัมผัสตั๋วนั้นก็บังเกิดประแสงสีรุ้งขึ้นจนสว่างวาบไปทั่วบริเวณนั้นจนเธอต้องหลับตาไปชั่วครู่หนึ่ง
กระทั่งแสงได้จางหายไปนั้น รินก็พบว่า เบื้องหน้าของชานชาลาที่ 13 ที่เคยว่างเปล่านั้นกลับปรากฏหัวรถจักรสีดำทมิฬแบบยุคแรก ๆ ของรถไฟตั้งอยู่อย่างนิ่งสงบ ควันสีขาวลอยปุ๋ย ๆ ออกมาจากท่อเบื้องหน้า กลิ่นของถ่านหินลอยตามลมมาจนรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาทันที
“นี่คือ?”
“รถไฟหมายเลข 1333 หรือที่คนเรียกกันว่า รถไฟแห่งความฝันค่ะ คุณริน”
รินอึ้งที่ถูกพนักงานหญิงคนนี้เรียกชื่อ ขณะที่พนักงานหญิงคนนั้นเหมือนจะนึกอะไรสักอย่างขึ้นมาได้
“อ่ะ ขออภัยที่ลืมค่ะ ฉันคือ หัวหน้ารถด่วนขบวนหมายเลข 1333 นี้ ชื่อว่า ยูเมะค่ะ ขอต้อนรับสู่รถไฟของเรานะคะ คุณริน”
พนักงานหญิง ไม่สิ หัวหน้าขบวนรถด่วนหมายเลข 1333 ยิ้มบริการให้กับรินอย่างเป็นทางกันเอง ท่าทางของเธอนั้นทำให้รินรู้สึกประทับใจและเชื่อมั่นขึ้นมาว่า
การก้าวขึ้นไปบนรถไฟคันนี้จะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่แท้
++++++++++++++
แสงสว่างวาบวูบปรากฏขึ้นในนัยน์ตาที่ปิดสนิท เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้นมา ใบหูแว่วเสียงปักษาส่งเสียงร้อง จิ้บ ๆ ออกมาอย่างร่าเริง แสงแดดอ่อน ๆ เล็ดรอดผ่านมาจากกรอบหน้าต่างเข้ามาจนทำให้ฟูกนอนในห้องจนอบอุ่น เบื้องหน้าของเจ้าของร่างนั้นคือ เพดานห้องเก่าคร่ำครึที่เห็นมาจนชินชา
ภาพเบื้องหน้าขุ่นมัวราวกับกระจกที่ไม่ได้ถูกล้างมานาน เธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบแว่นตาที่วางไว้บนหัวเตียงขึ้นมาสวมจึงทำให้ภาพเบื้องหน้าแจ่มชัดขึ้น เจ้าของร่างมองไปรอบตัว ทั้งตู้เสื้อผ้าไม้เก่า ๆ ทั้งโต๊ะเขียนหนังสือที่มีหนังสือเรียนวางระเกะระกะเต็มไปหมด อีกทั้งเตียงนอนนิ่ม ๆ นี้ทำให้เธอประหลาดใจ
“นี่เรา ?”
ตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับเผยร่างของเด็กชายตัวเล็กหน้าตาบ้าน ๆ ในชุดนักเรียนประถมวิ่งขึ้นห้องแล้วส่งเสียงดัง
“นี่พี่รินได้เวลาตื่นแล้ว อ้าว ? ตื่นแล้วเหรอ พี่”
เด็กชายคนนั้นทำเสียงประหลาดใจเมื่อเห็นพี่สาวของตัวเองตื่นนอนแล้วทั้งที่ปกติเขาต้องวิ่งมาปลุกแทบทุกครั้งไป แน่ล่ะว่า เมื่อเห็นเด็กชายคนนี้นั้น เจ้าของร่างนี้ก็ลุกขึ้นพรวดโผกอดเด็กคนนี้ทันที
“ทะ ทะ ทำอะไรเนี่ย พี่ริน”
เด็กชายส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเขิน แต่พี่สาวของเขาก็ยังไม่คลายอ้อมกอด
“สึสึมุ สึสึมุใช่ไหม”
“ก็ผมน่ะสิ พี่ เป็นอะไรไปเนี่ย อ่านหนังสือจนบ้าไปแล้วเหรอ ?”
สำหรับเธอคนนี้แล้วนี่อาจจะเป็นกระทำบ้า ๆ ในสายตาของน้องชาย แน่ล่ะว่า การกระทำนี้อาจจะดูบ้าไปสักหน่อย หากไม่ใช่เพราะ เธอคนนี้รู้ถึงอนาคตจากนี้ดี
อีกไม่นานน้องชายของเธอจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุนั่นเอง
“พี่เนี่ยมากอดผมทำไมเนี่ย หยะแหยงไปหมดแล้วนะ”
สึสึมุผลักตัวของพี่สาวออกแล้ววิ่งหนีไปจากห้องทิ้งให้พี่สาวของเขานั่งงงอยู่แบบนี้ เสียงดังโหวกเหวกข้างล่างดังแว่วผ่านมา ทั้งเสียงของสึสึมุ เสียงทำกับข้าวของแม่ที่แสนคุ้นเคย กลิ่นหอม ๆ ของอาหารเช้านั้นทำให้เธอผู้นี้รู้แล้วว่า ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ?
“เราย้อนอดีตกลับมาได้จริง ๆ สินะ”
เธอใช้สองมือดันตัวเองขึ้นยืนแล้วเดินไปที่กระจกบานใหญ่ในห้องตัวเองที่ตั้งอยู่ กระจกนั้นสะท้อนภาพตัวตนของเธอตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
ผมสั้นสีดำประบ่า ดวงตาสีนิลที่ครอบทับด้วยแว่นตาหนาเตอะอันโต ใบหน้าเฉิ่ม ๆ ในชุดนอนสีชมพูดูหวานแหววปรากฏขึ้นตรงหน้า หน้าอกที่ยังคงแบนราบต่างจากปัจจุบันนั้นบอกให้ตัวเธอรู้ว่า ตัวเองมาอยู่ในช่วงเวลาไหนในตอนนี้
ใช่แล้วนี่คือ ตัวของรินในช่วงม.ปลายนั่นเอง
รินในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กเรียนสวมแว่นท่าทางเฉิ่ม ๆ ที่มุ่งมั่นอ่านหนังสือสอบอยู่เป็นนิจ เป็นเด็กหญิงธรรมดาที่ไม่มีอะไรสะดุดตา เรียกได้ว่า เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งต่างจากอนาคตที่กลายเป็นโจรขโมยของราวกับคนล่ะคน
รินยืนนิ่งพลางทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ภายหลังจากเดินขึ้นไปบนรถไฟแห่งความฝันนั้น ยูเมะซังได้นำทางเธอไปยังที่นั่งพลางสอบถามไปยังช่วงเวลาที่เธอต้องการ รินตอบช่วงเวลาในตอนนี้ไป จากนั้นยูเมะก็ฉีกหางตั๋วออกก่อนที่เสียงหวูดของรถไฟจะดังก้องบอกกับทั้งสองคนว่า รถไฟจะออกจากชานชาลาแล้ว ยูเมะบอกกับรินถึงเงื่อนไขในการเปลี่ยนอดีตของเธอว่า
“คุณรินคะ คุณมีเวลาประมาณ 3 วันในอดีตนี้ จงใช้เวลาให้คุ้มค่านะคะ”
นั่นคือสิ่งที่สุดท้ายที่รินจำได้ก่อนจะหลับไปและตื่นขึ้นในร่างตัวเองตอนม.ปลายอย่างที่เห็นนี้
“เราตอนนี้ดูไม่ได้เลยแหะ ?”
รินบอกกับตัวเองขณะพิจารณาร่างกายตัวเองหน้ากระจก แน่ล่ะว่า ใบหน้าของเธอตอนนี้มันดูเฉิ่มเสียจนทนไม่ได้เลย นั่นเองที่ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเล็กน้อย หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียนของโรงเรียนม.ปลายที่ไม่สวมใส่มานานเกือบสิบปีเสร็จแล้ว รินก็หยิบเครื่องสำอางขึ้นมาแต่งหน้าเล็กน้อยให้ดูดีขึ้นสักหน่อย ใบหน้าที่พัดแป้งกับริมฝีปากทาลิปสติกเล็กน้อยจนดูนุ่มนวล
“เอาล่ะ แค่นี้ก็คงพอแล้วมั้ง”
รินบอกตัวเองอย่างมั่นใจแล้วหยิบกระเป๋าลงไปยังห้องครัวด้านล่าง ที่ตอนนี้มีสมาชิกในบ้านมาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ทั้งน้องชายตัวดี คุณแม่ที่แสนใจดีและพ่อของเธอที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เหมือนเช่นที่เคยเจอมา
มันเป็นภาพที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
“ริน มัวยืนทำไรอยู่มากินข้าวสิจ้ะ ของชอบลูกทั้งนั้นเลย”
“ค่ะ แม่”
รินพยักหน้าแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะไม้ตัวนี้พลางมองกับข้าวบนโต๊ะ
ซุปมิโซะ ปลาซาบะทอดหอมกรุ่น กับข้าวร้อน ๆ ตั้งอยู่ตรงหน้าอย่างเป็นระเบียบ รินนั่งมองกับข้าวนี้อยู่นานด้วยสายตาเหมือนไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านัก
จนกระทั่งพ่อของเธอสังเกตเห็นรินนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นก็ส่งเสียงดังขึ้นบอกเธอทันที
“อ้าว ริน รีบ ๆ กินซะสิ เดี๋ยวไปเรียนสายนะ ใกล้ปิดเทอมแล้ว ไปสายไม่ดีหรอกนะ ช่วงนี้น่ะ”
“ค่ะ พ่อ”
รินคว้าตะเกียบกับถ้วยที่ใส่ข้าวเอาไว้จนเต็มแล้วตักข้าวกินอย่างช้า ๆ พลันที่ลิ้นของเธอสัมผัสกับข้าวนั้น น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเอง
“ริน เป็นอะไรไป ?”
แม่ของเธอถึงกับตกใจที่เห็นลูกสาวของตัวเองอยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ออกมาแบบนี้ แน่ล่ะว่า อาการของเธอนั้นทำให้ทุกคนต่างงุนงงกันไปหมด ยกเว้นเพียงรินที่รู้ดีว่า น้ำตานี้เกิดขึ้นเพราะอะไร
เธอได้เจอกับพ่อแม่ที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสเจออีกครั้งแบบนี้ ทั้งที่คิดว่า มันเป็นไปไม่ได้แล้ว
“ดีใจจัง !!”
รินได้ก้มหน้าร้องไห้อยู่เช่นนั้นโดยคนในครอบครัวนั้นไม่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของคนนี้กันแน่
+++++++++++++
“ให้ตายเถอะ ดันปล่อยโฮไปแบบนั้นนี่นะ ไม่สมกับเป็นเราเลย”
รินตำหนิตัวเองขณะเดินไปบนถนนคอนกรีตสีดำสนิทที่หลายล้อมไปด้วยบรรดานักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเธอ ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของยามเช้า เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของบรรดานักเรียนล้อมข้างดังขึ้นบ่งบอกถึงความสดใสและสนุกสนาน รินชายตามองดูสิ่งที่เกิดรอบตัวด้วยความถวิลหา
รินเดินขึ้นไปยังห้องเรียนของเธอที่อยู่ชั้นบนสุด เท้าของเธอเยี่ยงย่างเข้าผ่านห้องเรียนและบรรดานักเรียนที่ยืนคุยกันบ้าง เดินผ่านมาบ้างกระทั่งมาถึงห้องเรียนของเธอที่ตั้งอยู่ริมสุด
ห้องของปี 2 ห้อง A
รินยืนอยู่หน้าประตูห้อง เธอเงยหน้ามองป้ายห้องที่แขวนเอาไว้พลางหลับตาลงทำใจเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปเลื่อนประตูห้องอย่างช้า ๆ
ห้องเรียนที่มีร่างของบรรดานักเรียนในชุดสีเดียวกันกับรินปรากฏขึ้นตรงหน้า อาจจะเพราะแสงตะวันยามเช้ากระมั้งทำให้ภาพเบื้องหน้านี้นั้นเสมือนกับความฝันยังไงพิกล
รินค่อย ๆ เดินย่างเท้าเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินตรงไปยังบริเวณโต๊ะเรียนริมหน้าต่างด้านหน้าสุดของตัวเองทันที
ตอนนั้นเอง
“อรุณสวัสดิ์ ริน !!”
เสียงอันร่าเริงที่มาพร้อมกับเรี่ยวแรงมหาศาลที่ถาโถมโอบกอดร่างของรินเต็มเป้าจนร่างของเธอถึงกับเซไปไม่ใช่น้อย เธอรีบหันหน้ามองไปเบื้องหลังและพบว่า คนที่โอบกอดเธออยู่นั้นคือ เพื่อนสนิทของเธอนั่นเอง
“อรุณสวัสดิ์ ฮิคาริจัง ร่าเริงแต่เช้าเลยนะ”
“อื้อ ก็เพราะได้เจอกับรินแต่เช้าแบบนี้ยังไงล่ะ เลยร่าเริงแบบนี้ วันนี้ท่าจะเป็นวันดีเนอะ”
“เหรอ ?”
“อื้อ ว่าแต่ว่า รินได้ทำการบ้านมาหรือเปล่า ?”
“การบ้านเหรอ ?”
“ก็การบ้านวิชาสังคมของอ.โยชิโมโตะน่ะสิ ไม่ได้ทำมาเหรอ กะจะลอกสักหน่อย”
รินยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ใช่แล้ว เธอต้องพยายามนึกย้อนกลับไปค่อนข้างนานทีเดียวกว่าจะนึกออกจนได้
“อ๋อ ทำมาสิ ฮิคาริจังจะลอกใช่ไหม รอแปปนะ”
รินเปิดกระเป๋าขึ้นมาหวังจะหยิบสมุดการบ้านวิชาสังคมให้กับเพื่อนซี้ของเธอไป ทว่า พอเปิดออกมานั่นเอง เธอก็ได้พบกับชุดทักไหมพรมด้วยตัวเองอันหนึ่งใส่อยู่ข้างในพอดี
“…อ้าว นี่ริน ยังทำไม่เสร็จอีกเหรอ ?”
“ทำเหรอ ?”
“เอ๊ะ ? เธอนี่ ลืมไปแล้วหรือไงว่า จะถักเสื้อเป็นที่ระลึกให้รุ่นพี่ยามาซากิก่อนจะเรียนจบไม่ใช่หรือไง”
“รุ่นพี่ยามาซากิเหรอ ?”
รินพยายามนึกหลับตาลง เธอดำดิ่งลงไปในลิ้นชักแห่งความทรงจำของตัวเองที่ถูกปิดทับมานาน อาจจะเพราะย้อนเวลากลับมาทำให้ความทรงจำของวันนี้ในช่วงเวลากลายเป็นอดีตที่ถูกทับซ้อนในซอกหลืบแต่ปางก่อนไปเสียแล้ว นั่นเองที่กว่าจะนึกออกว่า วันนี้ ตอนนี้ เมื่อช่วงเวลานั้นเธอทำอะไรได้บ้างก็ใช้เวลานึกไปพอควรเลยทีเดียว
“นึกออกแล้วล่ะ”
รินบ่นพึมพำเบา ๆ คล้ายไม่ต้องการให้เพื่อนซี้ของเธอได้ยิน สายตาของเธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องเรียน ณ ที่สนามหญ้าของโรงเรียนนั้นมีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งรอบสนามอยู่กับบรรดาสมาชิกชมรม เขาคนนั้นมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและเต็มไปด้วยพลังงานด้านบวกอันเต็มเปี่ยม ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานั้นทำให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาสาว ๆ หลายคนไม่ใช่น้อย
ใช่แล้ว เขาคนนั้นก็คือ ยามาซากิ เร็น หรือ รุ่นพี่ยามาซากินั่นเอง
รินมองเขาด้วยสายตาคะนึงหา แน่ล่ะว่า การที่เธอกลับมาในช่วงเวลานี้นั้นมีสาเหตุมาจากเขาคนนี้นั่นเอง
รินจำได้ว่า ในช่วงวันสุดท้ายก่อนเรียนจบนั้น เธอตั้งใจจะมอบของขวัญก็คือ เสื้อที่ถักเองตัวนี้ให้กับรุ่นพี่แล้วสารภาพรักกับเขา เพียงเพราะรินมีความกล้าไม่เพียงพอทำให้เธอทิ้งความตั้งใจนั้นไป
แน่ล่ะว่า มันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเธอเอง
และทำให้รินตัดสินใจแล้วว่า
ไม่ว่ายังไง เธอจะสารภาพรักกับรุ่นพี่ให้ได้อย่างแน่นอน
เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองนี้ให้จงได้
+++++++++++++++++
เวลาผ่านไป
รินใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้มาสองวันแล้ว
มันเป็นโลกอันแสนสงบสุขที่ตัวเธอโหยหามาตลอด
โลกที่ได้ใช้ชีวิตกับครอบครัว ได้ใช้ช่วงเวลาอันสนุกสนานนี้อย่างมิรู้เบื่อ โดยตัวของรินได้แต่นั่งเท้าคางมองพ่อ แม่ และ น้องชายของเธอใช้ชีวิตแบบนี้ไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
เพราะ เมื่อผ่านพ้นวันนี้ไป ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติ
รินลืมตาตื่นขึ้นตอนเช้าเหมือนเช่นทุกครั้ง เธอลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปเปิดม่านหน้าต่างออก เธอส่งสายตาออกไปภายนอกที่ที่ท้องฟ้านั้นช่างสดใสสมกับเป็นวันจบการศึกษาเสียจริง ๆ ดวงตะวันสีทองส่องสว่างสวยงาม เมฆสีขาวลอยผ่านฟ้าอย่างน่ารัก เสียงนกร้องบินผ่านบ้านของเธอไป ขณะที่บรรดาผู้คนยังคงใช้ชีวิตปกติเหมือนเช่นเคย
รินชำเลืองไปยังโต๊ะอ่านหนังสือของเธอ ที่มีกล่องใส่ของขวัญสีสันสวยงามใส่รอเอาไว้แล้ว รินแอบยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ
หลังผ่านความยากลำบากมาเกือบสองวันนั้น
ในที่สุดเสื้อทักไหมพรมของเธอก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
แม้ว่า มันจะไม่ได้สวยงามเท่าใดนักเนื่องจากเธอไม่ได้ทักมันมานานแล้ว ในความทรงจำอันลางเลือนนั้น เสื้อในตอนนี้นั้นห่วยแตกกว่าตอนนี้ซะอีก แต่กระนั้นเถอะช่างหัวมันไปก็แล้วกัน เพราะนั่นคือสิ่งที่แตกต่าง รินเชื่อมั่นว่า ถ้าเธอสามารถสารภาพรักกับรุ่นพี่ได้ล่ะก็
อนาคตของเธอจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
รินเดินออกจากบ้านในช่วงเช้าตรู่มุ่งหน้าไปยังโรงเรียน ท่ามกลางช่วงเวลาที่มีนักเรียนไม่มากเท่าไหร่นัก รินวิ่งถือกระเป๋าด้วยหัวใจที่พองโต หัวใจของเธอเต้นระรัว สายตาจับจ้องมองไปยังโรงเรียนที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม
“รุ่นพี่จะรออยู่ที่หลังอาคารไหมนะ ?”
รินนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เธอไม่กล้าแม้แต่จะสารภาพรักกับรุ่นพี่เลยด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ทว่า
“ฉันชอบรุ่นพี่ค่ะ”
เสียงสารภาพรักที่เต็มเปี่ยมด้วยความเขินอายดังขึ้นมาจากหลังอาคารเรียนที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ภาพตรงหน้านั้นคือ หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยื่นจดหมายรักให้กับรุ่นพี่ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ บ่งบอกถึงบุคลิกเอียงอายของเด็กสาวคนนั้นที่พยายามเค้นความกล้าออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่เธอหลับตาแน่นเพื่อรอคอยคำตอบจากชายหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยเหมือนกำลังใคร่ครวญคิดบางอย่างอยู่ในใจจนกระทั่งในที่สุด
“ตกลงครับ เรามาคบกันเถอะ”
“จะ จริงเหรอคะ”
“อืม !! อุตส่าห์กล้ามาสารภาพแบบนี้ พี่เองก็นับถือน้องที่มีความกล้าแบบนี้ก็เลยอยากรู้จักกันให้มากขึ้นเหมือนกัน เพราะงั้นเรามาคบกันนะ
ฮิคาริจัง”
คำตอบของรุ่นพี่นั้นไม่ได้มีให้เธอ
แต่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ
ฮิคาริ เพื่อนสนิทของเธอยืนอยู่ตรงนั้น
“ทำไม ? ฮิคาริจังถึง”
รินยืนนิ่งมองภาพตรงหน้านี้ด้วยสายตาตื่นตะลึง
เธอไม่คิดว่า ฮิคาริจะชอบรุ่นพี่เหมือนกันด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ฮิคาริให้กำลังใจเธอตลอดมาด้วยซ้ำ ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ทำไมกันล่ะ
ทั้งที่ให้กำลังใจมาตลอดแท้ ๆ
ทำไมถึงทำกันแบบนี้
น้ำตาอุ่น ๆ ของเธอไหลออกมาจากดวงตาอย่างมากมาย ขาทั้งสองทรุดลงกับพื้นจนส่งเสียงดังออกมา และทำให้ทั้งสองคนหันควับมาทางเธอด้วยความตกใจ
“รินจัง ทำไมถึงมาที่นี่ ?”
ฮิคาริดูจะตกใจมากทีเดียวที่รินมาอยู่ตรงนี้ทั้ง ๆ ที่ควรจะมาเรียนสายแท้ ๆ
“ฉะ ฉันต่างหากที่ต้องถามฮิคาริจัง ทำไมถึง”
เหมือนฮิคาริเองจะเข้าใจแล้วว่า รินกำลังจะพูดถึงอะไร เธอจึงเดินเข้ามาใกล้รุ่นพี่พลางเอามือโอบกอดเขาเอาไว้แล้วบอกว่า
“เพราะว่า ฉันชอบรุ่นพี่ยังไงล่ะ รินจัง”
“ฮิคาริ ?”
“ฉันชอบรุ่นพี่มานานแล้ว ชอบมานานยิ่งกว่ารินจังซะอีก เพราะ ฉันถึงมาสารภาพรักกับรุ่นพี่ยังไงล่ะ”
คำประกาศนั้นทำให้รินอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เธอตัดสินใจทำบางอย่าง
“เพียะ !!”
รินใช้ฝ่ามือตบหน้าของฮิคาริเต็มแรงทั้งน้ำตาที่ปริ่มออกมา
“คนทรยศ !!
รินหันหลังวิ่งหนีไปทันทีปล่อยให้ฮิคาริที่กำลังเอามือกุมใบหน้าไว้กับรุ่นพี่เพียงลำพัง โดยที่รินไม่ทันได้ฟังคำพูดของเพื่อนเธอที่กล่าวขึ้นหลังจากนั้นว่า
“รินจัง ขอโทษนะ !!”
รินวิ่งออกจากโรงเรียนพร้อมกับร้องไห้ไม่หยุด แม้ว่า สายฝนจะเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงวิ่ง วิ่งต่อไปโดยไม่มีทีท่าจะหยุด มือทั้งสองข้างของเธอจับลงบนใบหน้าที่ชุ่มฉ่ำผสมปนไปด้วยน้ำฝนอันเย็นยะเยือกกับความอบอุ่นของน้ำตาที่หลั่งรินไหลออกมาอย่างมากมาย
ทำไมฮิคาริถึงทำแบบนี้
ทำไมเพื่อนสนิทของเธอถึงทำแบบนี้
รินครุ่นคิดแบบนั้นไปตลอดทางโดยที่เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ ทั้งที่อุตส่าห์ย้อนเวลากลับมาแล้วแท้ ๆ
เธออุตส่าห์คิดว่า ถ้าตัวเองมีโอกาสอีกครั้ง มันจะเป็นแบบเดิมแล้ว
แต่ว่า ?
ทำไมเธอถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
รินวิ่งตรงไปตามทางเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณสถานีรถไฟประจำเมืองอีกครั้ง สถานีแห่งนี้ค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเทียบกับช่วงเช้าตอนที่ผู้คนพลุกพล่าน รินในสภาพเสื้อเปียกปอนทั้งตัวจนมองเห็นกระทั่งลายชั้นในที่อยู่ข้างในเหม่อมองสถานีแห่งนี้เล็กน้อย
เธอครุ่นคิดว่า ที่นี่จะมีรถไฟแห่งความฝันนั้นอยู่หรือเปล่านะ
และในตอนนั้นเอง
“อ้าว ? คุณรินไม่ใช่หรือคะ นั่น”
เสียงอ่อนหวานอันแสนคุ้นหูดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของริน
เมื่อหันหลังกลับไปดูนั้น รินก็ได้เจอกับบุคคลที่เธอไม่คาดคิดว่า จะมายืนอยู่ตรงนี้ได้
หญิงสาวมีเรือนผมสีครามยาวจนถึงแผ่นหลังในชุดพนักงานรถไฟกับกระโปรงอันแสนเรียบร้อยปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับร่มคันใหญ่ที่ถือเอาไว้กันฝน สายตาของเธอดูค่อนข้างตกใจที่เห็นเธอมายืนอยู่ตรงนี้
“คุณยูเมะ”
พนักงานประจำรถไฟแห่งความฝันยิ้มให้รินเล็กน้อย
“เสื้อแฉะหมดเลย ถ้าไม่รังเกียจอยากจะยืมชุดใส่ก่อนไหมคะ ?”
+++++++++++
“เชิญค่ะ คุณริน”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณยูเมะ”
รินพยักหน้ารับน้ำชาอุ่นจากยูเมะไปพลางยิ้มแหยะ ๆ แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอในตอนนี้นั่งอยู่ในห้องพักของยูเมะซังที่อยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟ ห้องของยูเมะเป็นห้องขนาด 2 LDK ราคาหย่อมเยาค่อนข้างใหญ่ไปสักหน่อยสำหรับการอาศัยอยู่คนเดียวแบบนี้ แน่ล่ะว่า ยูเมะก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากพาเธอที่เปียกปอนน้ำไปทั่งตัวเข้ามาด้านใน จากนั้นก็ให้รินอาบน้ำชำระล้างร่างกายที่เปียกให้เรียบร้อย ขณะที่เธอกำลังปั่นผ้าให้กับรินอยู่ข้างนอก
หลังอาบน้ำเสร็จ รินก็ยืมชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นของยูเมะใส่รอชุดแห้งไปก่อน นั่นเองที่ทำให้เธอได้นั่งประจัญหน้าอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องรับแขกนี้โดยมียูเมะนั่งอยู่ด้วยเช่นกัน
“ชาเนี่ย ฉันได้มาจากเพื่อนน่ะค่ะ ลองชิมสิคะ อร่อยนะ”
“...ค่ะ”
“หรือว่า ไม่ค่อยชอบชากันคะ ?”
“ปะ เปล่าค่ะ แค่แปลกใจว่า ห้องกว้างดีนะคะ”
“กว้างเหรอ ? แต่ฉันว่า ห้องนี้มันเล็กไปหน่อยน่ะนะ”
“เหรอคะ.
(นี่ยังเล็กอีกเหรอ ?)
รินนึกในใจพลางยกแก้วชาขึ้นมาดื่มอย่างช้า ๆ ก่อนจะพบว่า
“อะ อร่อย ?”
“บอกแล้วไงว่า อร่อยน่ะ”
“ไม่เคยกินชาแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ”
“อืม ถ้าชอบกินเยอะ ๆ นะ ได้มาเยอะน่ะนะ”
“ค่ะ”
รินพยักหน้ารับพลางยิ้มชาขึ้นดื่มจนหมดถ้วย ความอบอุ่นของชาทำให้ใบหน้าของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย แน่ล่ะว่า มันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อกี้ขึ้นมาเลยทีเดียว
“เป็นยังไงบ้าง ?”
“ค่ะ น่าจะดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ”
“เหรอคะ ? แต่ว่า ไปวิ่งตากฝนแบบนั้นเนี่ยไม่ดีหรอกนะคะ ถ้าไม่สบายมาจะแย่เอานะคะ ถึงจะเป็นร่างกายในตอนนี้ก็เถอะ อาจจะแย่เอาก็ได้นะบอกไว้ก่อน”
“ค่ะ”
รินพยักหน้ารับทางอย่างนั้นพลางก้มหน้าลงเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา กระนั้นเองเธอก็ได้ลังเลว่า ควรจะพูดออกมาดีหรือไม่
และ
“คุณยูเมะคะ ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาค่ะ”
“ปรึกษาเหรอคะ ?”
“ค่ะ”
รินกลืนน้ำลายลงคอแล้วถามว่า
“คุณยูเมะเคยมีแฟนไหมคะ ?”
“แฟนเหรอ ? อืม...” ยูเมะยิ้มน้อย ๆ ให้ริน “ไม่มีหรอกค่ะ แต่คนที่แอบรักน่ะมีค่ะ”
“เป็นคนแบบไหนเหรอคะ คนที่ยูเมะแอบชอบน่ะ”
“อืม...ก็เป็นคนดีน่ะค่ะ แต่เพราะทำงานแบบนี้เลยไม่มีโอกาสได้สารภาพรักกับเขาเลย เพราะงั้นเลยได้แต่แอบชอบเขาเท่านั้นแหละค่ะ”
“เหรอคะ ?”
“จ้ะ งานของฉันต้องเดินทางไปนู่นนี่ประจำไม่ได้อยู่กับที่หรอกนะ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาคนนั้นแต่งงานไปแล้วล่ะจ้ะ”
พอยูเมะบอกมาแบบนี้ รินก็ได้ถึงกับอ้าปากค้าง
“จะ จริงเหรอคะ ?”
“อืม แต่งงานกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนฉันด้วยล่ะนะ บอกไว้ก่อน”
“…”
รินอึ้งงุนงงเพราะ ไม่คิดว่า เรื่องราวความรักของยูเมะจะเหมือนกับเธอขนาดนี้ เธอเงยหน้ามองหญิงสาวผมสีน้ำเงินคนนี้ด้วยความประหลาดใจ
“แล้วคุณยูเมะไม่เสียใจเหรอคะ ?”
“เสียใจเหรอ ?”
“ค่ะ ที่เพื่อนสนิทของคุณเอาคนที่ชอบไปแบบนั้น คุณยูเมะไม่เสียใจเหรอคะ”
“อืม...” ยูเมะเงียบไปอีกครั้งแล้วยกแก้วชาขึ้นดื่ม “ก็เสียใจนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“เหรอคะ ?”
(นั่นสินะ ถูกเพื่อนสนิทแย่งคนชอบไปแบบนี้เป็นใครก็ต้องเสียใจทั้งนั้นแหละ)
“แต่ที่ฉันเสียใจน่ะ หมายถึงเรื่องที่ไม่ได้บอกความในใจของตัวเองให้เขาคนนั้นรู้ต่างหากล่ะค่ะ ฉันแอบคิดว่า ถ้าได้สารภาพรักกับเขาล่ะก็ อะไรอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้นะ”
“…”
“แต่ว่า ฉันไม่กล้าพอ ได้แต่แอบเสียดายที่ตัวเองไม่สารภาพรักไปน่ะนะ แต่คิดแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ เลย ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเรื่อย ๆ แบบนี้ล่ะ”
“แต่ว่า มีรถไฟนี่ก็น่าจะ”
“รถไฟแห่งความฝันน่ะ มีไว้เพื่อคนที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าต่างหากล่ะจ้ะ พนักงานแบบฉันเป็นแค่คนสังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีสิทธิไปยุ่งอะไรหรอกนะ เพราะงั้นการที่มานั่งคุยกับคุณริน มันก็เกินหน้าที่ฉันไปแล้วนะคะ”
“เหรอคะ”
ยูเมะยิ้มรับด้วยใบหน้าอันแสนอ่อนโยน
“แล้วคุณรินไปวิ่งตากฝนแบบนั้นน่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ?”
“เกิดอะไรขึ้นนี่คือ ?”
“ฉันอยากรู้น่ะค่ะ เหตุผลที่คุณรินไปวิ่งตากฝนแบบนั้นน่ะค่ะ”
รินอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ยูเมะฟัง ยูเมะก็รับฟังเรื่องราวพวกนั้นจนจบ เธอจึงถามย้อนกลับมาว่า
“คุณรินคะ ไม่ทราบว่า ในโลกของคุณ ฮิคาริจังแต่งงานกับใครคะ ?”
“ฮิคาริเหรอคะ อืม...หลังจากจบม.ปลาย เราก็ไมได้ติดต่อกันเลยค่ะ แต่ว่า เท่าที่ได้ยินเธอแต่งงานกับลูกเศรษฐีคนหนึ่งน่ะค่ะ ทำไมเหรอคะ ?”
“ไม่ใช่รุ่นพี่ที่คุณชอบสินะคะ”
“ค่ะ”
“ในโลกเดิม คุณได้สารภาพรักกับเขาไหมคะ ?”
“ไม่ค่ะ เพราะงั้นก็เลยตั้งใจว่า จะสารภาพรักให้ได้น่ะค่ะ แต่ว่า ?”
ยูเมะพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ดวงตาสีนิลอันอ่อนโยนนั้นจับจ้องมาที่รินแล้วเอื้อนเอ่ยการสันนิฐานของเธอออกมา
“เข้าใจแล้วค่ะ ไทม์ไลน์ มันเปลี่ยนไปสินะคะ”
“ไทม์ไลน์ ?”
“ค่ะ เป็นทฤษฏีการย้อนเวลาน่ะ กล่าวกันว่า เวลาน่ะเดินเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ว่านะ ถ้าเกิดมีคนย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรขึ้น โลกจะถูกแบ่งออกเป็นไทม์ไลน์หรือเส้นทางอื่น เหมือนรถไฟนั่นล่ะนะ สมมติว่า A ย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตสำเร็จ แต่นั่นทำให้ A ไม่ได้เจอกับการย้อนเวลาขึ้นมา มันจะเป็นยังไงล่ะ นี่คือ ทฤษฏีจ้ะ”
“งั้นแปลว่า ?”
“จ้ะ แสดงว่า ตั้งแต่คุณรินย้อนเวลามานั้น ได้แก้ไขบางอย่างไปทำให้เกิดไทม์ไลน์ใหม่ขึ้นที่เหมือนเดิมอย่างที่คุณรินเคยเจอน่ะค่ะ เพราะงั้นต้องพูดว่า อนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็นะคะ”
ยิ่งฟังรินก็ยิ่งงงไปกันใหญ่ ขณะที่ยูเมะถามต่ออีกว่า
“มีอะไรที่คุณรินทำให้เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่าค่ะ จากอดีตที่ก่อนหน้านี้”
“เปลี่ยนแปลงเหรอคะ ?”
“ค่ะ อาจจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อยก็ได้ ไม่มีอะไรที่ไม่ส่งผลต่อเวลาหรอกค่ะ นึกดูดี ๆ นะคะ”
รินหลับตาลงนึกย้อนอีกครั้งว่า ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั้นมีอะไรที่เธอทำเปลี่ยนแปลงอดีตไปบ้าง ก่อนจะนึกถึงสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเธอขึ้นมาได้
รินคว้ากระเป๋าเรียนที่อยู่ใกล้มือขึ้นแล้วเปิดเอาสิ่งอยู่ในนั้นออกมา
มันคือ ห่อกระดาษที่ใส่เสื้อทักไหมพรมที่เธอตั้งใจทักเอาไว้นั่นเอง
“หรือว่า เพราะ ฉันทักเสื้อนี้เสร็จก็เลย...”
“ค่ะ ไทม์ไลน์เก่าของคุณรินทักมันไม่เสร็จ ดังนั้นเมื่อคุณรินย้อนอดีตทักมันจนเสร็จ มันจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปยังไงล่ะค่ะ”
(มิน่าล่ะ ทุกอย่างถึงไม่เหมือนเดิม)
รินพยักหน้ารับเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น มือทั้งสองที่จับห่อกระดาษนี้สั่นเครือ น้ำตาที่ไหลออกมานั้นหยดลงบนห่อกระดาษแหมะ ๆ เป็นรอย
“ฉันควรจะทำยังไงดีคะ ?”
“...”
“คุณยูเมะ ช่วยบอกฉันทีสิคะว่า ฉันควรจะทำยังไงดี ?”
“หืม ? ฉันไม่สามารถแนะนำคุณได้หรอกนะคะ มันผิดกฎของเรา”
“แต่ว่า ฉันสับสนไปหมดแล้ว ฉันไม่รู้ว่า ควรจะทำยังไงดีแล้วล่ะค่ะ เพราะงั้น คุณยูเมะได้โปรดบอกด้วยเถอะค่ะ ว่าฉันควรจะทำยังไงดี”
รินส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากยูเมะที่นั่งมองรินด้วยใบหน้าลำบากใจ แน่ล่ะว่า ตัวของรินรู้ดีว่า การกระทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย การขอร้องให้คนที่เขาบอกว่า ทำไมไม่ได้เพราะผิดกฎบริษัทให้ช่วยแบบนี้ แต่อย่างที่บอก เธอไม่มีใครจะพึ่งพาได้แล้วในโลกนี้ เพราะงั้น เธอจึงจำเป็นต้องขอร้องคนคนนี้เท่านั้น
ถึงจะถูกปฏิเสธก็ตาม
“....เออ...คุณรินคะ”
“ขอร้องล่ะค่ะ”
“…แต่ว่า”
ยูเมะไม่รู้จะพูดยังไงดี แม้จะพูดอย่างไรออกไป รินก็คงไม่ยอมอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงได้แต่ถอดถอนหายใจออกมาพร้อมกับบอกเจ้าตัวกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“คุณรินคะ คุณมาที่นี่เพื่ออะไรกันคะ ?”
“ฉันมาที่นี่เพื่อสารภาพรักกับรุ่นพี่ค่ะ”
“แล้วคุณได้สารภาพรักกับรุ่นพี่ที่คุณชอบหรือยังคะ ?”
“ยังไม่ได้สารภาพเลยค่ะ เพราะว่า เพื่อนของฉันสารภาพรักไปแล้ว”
“แล้วจะยอมแพ้แค่นั้นหรือคะ ?”
“หมายความว่ายังไงคะ ?”
“คุณมาโลกนี้เพื่อสารภาพรักกับเขา เพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่หรือยังไงกันคะ การที่คุณยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่อาจจะสารภาพรักได้แบบนั้นน่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำหรอกนะคะ”
“แต่ว่า ถึงสารภาพไปก็...ถูกปฏิเสธอยู่แล้วล่ะ”
“เพราะงั้นถึงยอมแพ้สินะคะ”
“ปะ เปล่าสักหน่อย”
พอถูกยูเมะรุกไล่ใส่เข้าหนัก รินก็เริ่มไปไม่เป็น สีหน้าของเธอลำบากใจขึ้นทุกที ขณะยูเมะยิ่งคำถามใส่ต่อเนื่อง
“แล้วทำไมถึงไม่คิดจะสารภาพรักล่ะค่ะ”
“ก็เพราะ เขามีแฟนแล้วน่ะสิ”
“แต่นั่นไม่เกี่ยวสักหน่อยนี่คะ ? คุณก็แค่หาข้ออ้างที่จะยอมแพ้เท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่นะ!!”
“ไม่ใช่แล้วยังไงกันคะ ? คุณก็แค่ยอมแพ้ทั้งที่ไม่คิดสู้เท่านั้นเองแหละค่ะ”
“ไม่ใช่นะ ฉันแค่...”
รินพยายามสรรหาคำพูดออกไป เพียงแค่ว่า สุดท้ายแล้ว เธอก็รู้ดีว่า คำพูดของยูเมะนั้นเป็นความจริงทั้งหมด มันเป็นความจริงที่เธอไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย
เธอกำลังยอมแพ้
ยอมแพ้กับโชคชะตาที่เกิดขึ้นและกำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็น
หลังน้องชายเสียชีวิต พ่อแม่ของรินก็แยกทางกันไป รินอาศัยอยู่กับแม่ได้ไม่นานก็หนีออกจากบ้านใช้ชีวิตเหลวแหลกกลายเป็นขโมยชื่อดังที่มีแฟนเป็นยากูซ่ากระจอกคนหนึ่งเท่านั้น
เพราะแบบนั้น เธอถึงย้อนเวลามากับรถไฟขบวนความฝันแห่งนี้
เพื่อจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ
รินเชื่อมั่นว่า ถ้าได้สารภาพรักกับรุ่นพี่ในวันนี้ ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน
เธอมั่นใจเช่นนั้น
ดังนั้น
“อ่ะ!!”
ตอนนั้นเองรินสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านออกมาเมื่อร่างของเธอได้ถูกโอบกอดโดยนายตั๋วสาวคนนี้ ใบหน้าของรินแนบชิดไปบนหน้าอกของยูเมะซึ่งโอบกอดเธอแน่นราวเป็นคู่รัก กลิ่นหอมละมุนของน้ำหอมที่ลอยเคล้าด้วยกลิ่นกายที่ประสานขึ้นมาเคียงคู่จนรินรู้สึกดี ความรู้สึกอันอ่อนโยนส่งผ่านเสียงหัวใจที่ดังระรัว ขณะที่มือของยูเมะลูบไปแผ่นหลังของรินเบา ๆ เสมือนปลอบโยนจิตใจของเธอให้ฟื้นคืนอีกครั้ง
เวลาผ่านไป เสื้อผ้าของรินที่อบจนแห้งแล้ว รินจึงได้เวลาไปจากที่นี่สักที หลังจากสวมใส่เสื้อจนเสร็จเรียบร้อย รินก็กอดยูเมะอีกครั้งหนึ่งราวกับเป็นการขอบคุณ
“คุณยูเมะคะ ?”
“มีอะไรเหรอคะ”
“คุณยูเมะเนี่ยนุ่มนิ่มดีจังนะคะ”
“เหรอคะ คุณรินเองก็ผิวเนียนมากเหมือนกัน ฉันเองก็อยากได้ผิวแบบคุณรินบ้างเหมือนกันนะค”
“งั้นเหรอคะ ?”
“ค่ะ” ยูเมะพยักหน้ารับแล้วพูดต่อไป
“สบายใจขึ้นแล้วสินะคะ”
“คงงั้นแหละค่ะ”
รินผละออกจากอ้อมกอดของยูเมะ ใบหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสบายใจ
“เพราะงั้น ฉันรู้แล้วล่ะค่ะ ว่า ตัวเองจะต้องทำอะไร”
“ค่ะ พยายามเข้านะคะ”
“ขอบคุณคุณยูเมะมากนะคะกับคำแนะนำและอ้อมกอดของคุณด้วยนะคะ”
รินโค้งตัวให้กับยูเมะแล้ววิ่งออกจากห้องไป ขณะที่สายฝนได้จางหายไปแล้ว และแสงอาทิตย์ของยามเย็นกำลังสาดแสงสีแดงลงมาอย่างอ่อนโยน
ราวกับเป็นคำอวยพรให้เธอคนนี้ได้ก้าวเดินต่อไป
+++++++++++++
“ไปซะแล้วนะคะ”
ยูเมะเอ่ยกับตัวเอง คล้อยหลังรินออกจากห้องไป เธอยืนนิ่งอย่างสงบแล้วมองไปรอบ ๆ ตัวที่บัดนี้กลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
“เป็นผู้หญิงที่ทำให้เหนื่อยทุกครั้งเลยนะคะ เธอคนนี้น่ะ”
ยูเมะบ่นพึมพำเล็กน้อย ขณะใช้สองมือเก็บแก้วชาที่กินหมดแล้วลงบนถาด
เสียงน้ำก๊อกเปิดดังขึ้น แก้วทั้งสองใบถูกวางไว้อย่างดี ขณะที่เธอเดินออกจากห้องครัวมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่เยื้องไม่ไกลกันนัก เธอชำเลืองไปยังภาพถ่ายตั้งโต๊ะอันหนึ่ง ภาพนั้นเป็นภาพของคนสามคนในชุดแต่งงาน หนึ่งในนั้นคือ ยูเมะที่อยู่ในชุดเดรสสีครีมสวยงามยืนเคียงข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์พร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก
สายตาของยูเมะจับจ้องไปยังรูปถ่ายนี้ ใบหน้าของทั้งสามคนต่างเผยยิ้มอย่างมีความสุขออกมา มันเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำของเธอ
แม้จะไม่ได้ครอบครองตัวของเขา แต่การได้เห็นเขากับเพื่อนของเธอคนนี้มีความสุข เธอก็มีความสุขเช่นกัน
แม้จะผิดหวังแต่ก็มีความสุขกับช่วงเวลานี้
“ใช่ไหมล่ะ รินจัง”
ยูเมะเอ่ยกับรูปถ่ายนั้นแล้ววางมันลง
สายตาเธอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับภาวนาในใจ
ขอให้เธอคนนั้นผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ
+++++++++++++
รินวิ่งกลับไปยังโรงเรียนที่ตอนนี้บรรดานักเรียนกำลังค่อย ๆ ทยอยกันกลับบ้านกัน หลังฝนได้หยุดตกลงไปสักพักหนึ่ง รินวิ่งปรี่สวนทางเข้ามาท่ามกลางสายตาของบรรดาคนในโรงเรียนที่มองเธอด้วยความประหลาดใจ
แต่รินก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากภาวนาให้รุ่นพี่ยังไม่ไปไหน
และ
ที่หน้าอาคารหอประชุมนั้น สายตาของรินก็มองเห็นรุ่นพี่กำลังยืนคุยอยู่กับฮิคาริ เพื่อนของเธอด้วยใบหน้าสนุกสนาน
(พวกเขาไปกันได้ดีสินะ)
รินคิดในใจแบบนั้น แน่ล่ะว่า มันช่วยสปอยด์สิ่งที่จะเกิดขึ้นว่า เธอจะต้องเจออะไร ถ้าเอ่ยคำสารภาพออกไป
แต่เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
เพราะ เธอตั้งใจจะทำมันให้ได้ ณ ตอนนี้
“รุ่นพี่คะ !!”
รินส่งเสียงดังเรียกร้องความสนใจให้ทั้งสองคนมองมาทางเธอ
“เธอ...”
“รินจัง”
สีหน้าของฮิคาริดูเศร้าไปทันทีคงเนื่องจากถูกรินตบไปเมื่อครู่นี้ทำให้เธอหวาด ๆ รินไปพอดี แน่ล่ะว่า มันทำให้รินตัดสินใจบอกเพื่อนของเธอไปด้วยเสียงอ่อน
“ฮิคาริจัง สิ่งที่ฉันทำไปเมื่อเช้านี้ ฉันขอโทษนะ”
รินก้มหัวลงขอโทษฮิคาริด้วยท่าทีสำนึกผิด ทำเอาฮิคาริถึงกับสะอึกเนื่องจากท่าทีของเพื่อนเธอตอนนี้ เมื่อขอโทษเพื่อนของเธอแล้ว รินก็ล้วงของในกระเป๋าออกมา มันคือ ห่อกระดาษสีสันสวยงามซึ่งบรรจุเสื้อทักไหมพรมสีน้ำเงินที่รินบรรจงทักมาตลอดหลายเดือนนี้
เธอตั้งใจจะมอบให้กับรุ่นพี่อยู่แล้ว
เธอยื่นมันให้เขาพร้อมกับเปล่งเสียงประกาศความในใจทั้งหมดออกไป
“ฉันชอบรุ่นพี่ค่ะ !!”
++++++++++++++
เสียงหวูดรถไฟคำรามร้องดังสนั่นไปทั่วบริเวณสถานีรถไฟแห่งนี้ ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนที่ฟ้าไร้ดาว ณ บริเวณ ชานชาลาที่สิบสาม ยูเมะนั่งอยู่บนม้านั่งบนชานชาลาเพียงลำพัง เธอหยิบนาฬิกาพกสีทองขึ้นมาดูเวลาเล็กน้อย เธอหลับตาลงเหมือนจะฆ่าเวลารอใครสักคนอยู่ที่ตรงนี้
“ตึก ตึก ตึก”
เสียงฝีเท้าดังก้องทำลายความเงียบงันไปจนหมดสิ้น ยูเมะลืมตาขึ้นพลางหันหน้ามองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับ
“มาทันเวลาพอดีเลยนะคะ คุณริน”
รินในชุดนักเรียนวิ่งฝ่าความมืดมาที่นี่ ใบหน้าของเธอเหมือนจะรีบเร่งจนลืมไปว่า ร่างกายของเธอนั้นอ่อนแอแค่ไหน เมื่อมาถึงแล้วเธอก็ได้แต่ยืนหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“เป็นยังไงบ้างคะ สารภาพ...”
ไม่ทันพูดจบ รินก็กระโจนกอดยูเมะซังแน่นพร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ฉันสารภาพรักไปแล้วล่ะค่ะ”
“เหรอคะ แล้วเป็นยังไง...”
ยูเมะชะงักเหมือนพูดไม่ออก เธอรู้แล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวคนนี้ เธอจึงได้แต่โอบกอดเธอผู้นี้เอาไว้แน่น จนกระทั่งเธอสงบลง
“วู้ด วู้ด”
เสียงคำรามของรถไฟดังขึ้นเสมือนย้ำเตือนให้ยูเมะกับรินรู้ว่า ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว
“คุณยูเมะคะ มีเรื่องอยากจะถามค่ะ”
“ค่ะ ว่ามาเลยค่ะ”
“ฉัน ฉันเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมคะ”
“ได้สารภาพรักกับเขาแล้วใช่ไหมคะ ?”
“ค่ะ สารภาพรักแล้ว และก็โดนปฏิเสธมาแล้วด้วย”
“ถ้างั้นก็ดีแล้วค่ะ” ยูเมะยิ้ม “นั่นคือ สิ่งที่คุณเปลี่ยนไปแล้วไงคะ ”
“เปลี่ยนเหรอ”
“ในโลกอื่น คุณไม่กล้าแม้กระทั่งจะสารภาพรักกับคนที่ชอบ คุณเลยก้าวเดินผิดไป แต่โลกนี้ แม้จะรู้ว่า อาจจะต้องเจ็บปวด คุณก็ยังคงเดินหน้าต่อไป นั่นคือ สิ่งที่คุณเปลี่ยนค่ะ ริน
คุณกล้าที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง นั่นคือสิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงแล้วนั่นเองค่ะ”
คำอธิบายของยูเมะทำให้รินเผยยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“ฉันเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงเหรอ ?”
“ค่ะ เพราะฉะนั้นมั่นใจเอาไว้เถอะค่ะ คุณริน ตัวคุณในตอนนี้น่ะเปลี่ยนแปลงไปแล้วไงคะ”
ยูเมะกล่าวยืนยัน ขณะที่เสียงหวูดของรถไฟดังขึ้นเพื่อย้ำเตือนให้ทั้งสองคนรู้ว่าได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว ยูเมะจึงจับมือของรินแน่นพลางบอกว่า
“ได้เวลากลับกันแล้วล่ะค่ะ”
“ค่ะ”
รินเดินตามยูเมะขึ้นไปบนรถไฟที่กำลังพ่นควันสีขาวปุ๋ย ๆ ออกมา เธอหันหน้ามองย้อนกลับไปเบื้องหลัง ในโลกอันแสนสงบสุขนี้ด้วยความห่วงหาอาวรณ์
กระนั้นเธอก็ตัดสินใจเดินตามยูเมะขึ้นไป
และแสงสว่างสีขาวก็กลืนกินร่างเธอและรถไฟคันนั้นไปพร้อม ๆ กัน
สู่อนาคตใหม่ที่รออยู่ !!
+++++++++++++
แสงสว่างสีขาวแย้งเข้ามาในดวงตาอันหนึกอึ้ง หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นโดยยังรู้สึกงัวเงียอยู่ในหัว เบื้องหน้าของเธอนั้นคือ ห้องนอนสีชมพูสวยงามที่มองเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เธอผลักตัวเองลุกจากเตียงแล้วหย่อนเท้าทั้งสองข้างเดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
ในห้องน้ำ หญิงสาวเปิดก๊อกน้ำในอ่าง มือทั้งสองข้างรองน้ำเย็นนั้นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อของตัวเองออก เธอเงยหน้าขึ้นมองกระจก เผยให้ใบหน้าของหญิงสาวได้ชัดเจน
หญิงสาวมีใบหน้าสวยใสในแบบสาววัย 20 กลาง ๆ ผมสีเพลิงยาวจนถึงแผ่นหลัง ผิวขาวเนียนสุขภาพดี หญิงสาวยิ้มให้กระจกเล็กน้อย
เธอคนนี้คือ ริน
หลังจากกลับมาจากอดีตนั้น เธอได้พบว่า โลกของเธอได้เปลี่ยนไป
รินลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อสองสามวันก่อนก็รู้ว่า เธอไม่ใช่โจรสาวคนนั้นอีกแล้ว เป็นเลขาในสำนักงานแห่งหนึ่งที่กำลังมั่นคง จบการศึกษาจากมหาลัยดัง มีบ้านเป็นอพาร์ทเม้นท์หรูกลางเมือง
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ครอบครัวของเธอทั้งพ่อแม่และน้องชายของเธอยังอยู่ดีครบ
แถม เธอกำลังจะแต่งงานด้วยเหมือนกัน
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดก้าวกระโดดเลยด้วยซ้ำ ซึ่งโชคดีที่เธอปรับตัวได้ไวจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข
และตอนนี้เธอก็กำลังจะแต่งตัวออกไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน
หลังแต่งตัวเสร็จแล้ว รินก็เดินออกจากห้องพักมุ่งหน้าไปยังบริษัทที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ทำงานแปดชั่วโมงแล้วกลับบ้านเหมือนเดิม แม้จะเป็นงานน่าเบื่อแต่เธอก็พอใจ
ต้องขอบคุณการเดินทางอันน่ามหัศจรรย์เมื่อสองสามวันก่อนที่ทำให้ชีวิตของเธอพลิกพันไปได้ขนาดนี้
แน่ล่ะว่า เธอขอบคุณหญิงสาวคนนั้น
หญิงสาวที่ชื่อ ยูเมะ คนนั้นได้มอบความกล้าให้กับเธอและทำให้เธอได้ใช้ชีวิตที่สองในตอนนี้ รินอยากจะกล่าวขอบคุณเธอคนนั้นมาตลอด แต่ว่า เมื่อกลับไปสถานีนั้น เธอก็ไม่ได้พบกับยูเมะอีกเลย ไม่มีทั้งชานชาลาที่ 13 ไม่มีทั้งรถไฟแห่งความฝัน ไม่มีอพาร์ทเม้นท์ที่เธอไปร้องไห้ในอ้อมกอดของเธอคนนั้น
แม้แต่ตัวตนของเธอคนนั้นยังลืมเลือนหายไปในความทรงจำ
ทุกอย่างราวกับความฝัน
กระนั้นรินก็ไม่อาจจะละลืมไป
เธอไม่อาจจะลืมได้ว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยขึ้นรถไฟขบวนนี้
และเธอเชื่อว่า รถไฟขบวนนี้กำลังนำทางใครสักคนไปยังอดีตของพวกเขาอีกครั้ง
และทุกมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งเท่านั้น
ดังนั้นสำหรับรินแล้ว เธอจะไม่ใช่โอกาสนี้ให้ผิดพลาดอีกแล้ว
ดังนั้น
“ขอบคุณกับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ คุณยูเมะ”
รินโค้งตัวลงขอบคุณตรงหน้าของสถานีรถไฟแห่งนี้ แม้ว่า เธอจะไม่ได้พบกับหญิงสาวคนนี้อีกแล้ว เธอก็อยากจะขอบคุณเธอ
พร้อมกับความหวัง
หวังว่า สักวันเธอจะได้พบกับหญิงสาวที่ ยูเมะ อีกครั้ง
++++++++++++++
ฉันมองดูภาพของอดีตผู้โดยสารคนหนึ่งด้วยความสนใจ แม้เธอจะไม่มีวันมองเห็นฉันแล้วก็ตาม ฉันก็ยิ้มรับ คำขอบคุณที่เปล่งออกมาจากปากนั้นอย่างเต็มใจ
มันคือ ชะตากรรมของรถไฟแห่งความฝันนี้กับตัวฉันเอง
มีเพียงคนที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าเท่านั้นที่จะมองเห็นรถไฟขบวนนี้และตัวของฉันได้
นั่นคือ กฎที่ฉันรู้ดี
หลังเธอจากไป ฉันนั่งลงบนม้านั่งในชานชาลาแห่งนี้พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำที่มีดวงจันทราสีทองส่องสว่างอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งหยิบนาฬิกาพกสีทองขึ้นมาดูเวลาก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
และ
“ขะ ขอโทษนะครับ ที่นี่ใช้ชานชาลาที่ 13 หรือเปล่าครับ”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นถามด้วยความลังเล เสียงนั้นทำให้ฉันลืมตาขึ้นแล้วหันหน้ามองไปยังชายหนุ่มคนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์
ชายหนุ่มอยู่ในชุดพนักงานบริษัทเก่า ๆ เปื้อนฝุ่นสีดำ ใบหน้ามีรอยแดงคล้ายถูกทำลายมา ท่าทางของเขาเหนื่อยอ่อนจนดูอิดโรย เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางจ้องมองตัวฉันอยู่เช่นกัน
เมื่อเห็นดังนั้น ฉันจึงยืนขึ้นจากม้านั่ง สูดลมหายใจเข้าไปในปอดพร้อมกับเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาคอ
คำพูดที่พูดมานานจนชินชา
“สวัสดีค่ะ ดิฉันยูเมะแห่งขบวนรถไฟหมายเลข 1333 รถไฟขบวนแห่งความฝัน โปรดบอกความปรารถนาของท่าน และดิฉันจะนำทางท่านไปสู่ปลายทางของความปรารถนานั้นเองค่ะ”
และแล้วเสียงคำรามของรถไฟแห่งความฝันก็ดังขึ้น
การเดินทางครั้งใหม่ของรถไฟขบวนนี้ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง
จบ.
ผลงานอื่นๆ ของ Dark Princess ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Dark Princess
ความคิดเห็น